เทศน์พระ

ทองชุบ

๘ ม.ค. ๒๕๕๕

 

ทองชุบ
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์พระ วันที่ ๘ มกราคม ๒๕๕๕
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจ ตั้งใจนะ ฟังเทศน์นี่มันเป็นแค่คำเดียว เวลาเทศน์นะ ครูบาอาจารย์ หลวงปู่มั่นท่านเทศน์ ๔ ชั่วโมง แต่ละกัณฑ์ ครูบาอาจารย์ท่านเทศน์มาก็ชั่วโมงกว่า ๒ ชั่วโมงแล้วแต่ บางคนเทศน์นิดหน่อย อย่างเช่น ถ้าหลวงปู่เสาร์ท่านจะไม่ค่อยเทศน์ พูดไม่กี่คำ แต่ท่านบอกว่า

“ดูสิ ทำให้มันดูนี่มันยังไม่เอาเลย แล้วไปเทศน์ให้มันฟังมันจะเอาหรือ ทำให้มันดูอยู่นี่”

เพราะหลวงปู่เสาร์ท่านทำตัวท่านเอง ครูบาอาจารย์ท่านก็ทำตัวท่านเอง แต่ทำเสร็จแล้วท่านยังจ้ำจี้จ้ำไชคอยบอก เหมือนเด็กเขียนหนังสือ จับมือเขียน เวลาครูบาอาจารย์ เห็นไหม นี่ฟังเทศน์

ฉะนั้น เทศน์ทั้งกัณฑ์เราฟังคำเดียว คำไหนก็แล้วแต่ที่มันทำให้เราสะดุ้ง คำนั้นจะมีรสชาติมาก นี่รสของธรรมไง นี่ฟังธรรม

ถ้าเราฟังธรรมนะ เราฟังธรรม มันสะเทือนหัวใจ เรามีโอกาสนะ ถ้าเราฟังธรรมแล้วมันเลื่อนลอย “เอ...พูดเรื่องอะไร พูดเรื่องชาวบ้าน” เวลาเขาว่านะ เวลาพระชอบพูดเรื่องชาวบ้าน แล้วเวลาชาวบ้านชอบพูดเรื่องพระนะ เวลาชาวบ้านเขาบอกว่า “นิพพาน นิพพาน ปล่อยวางสิ” เวลาเขาทำงานกัน เวลามีปัญหาขึ้นมา “ให้ปล่อยวาง ให้ปล่อยวาง”

เขาชอบพูดเรื่องพระนะ แต่พระชอบพูดเรื่องชาวบ้าน

ฉะนั้น เวลามาวัด เวลาครูบาอาจารย์ท่านเทศน์ เทศน์เรื่องอะไร ถ้าท่านไม่พูดเรื่องชาวบ้าน เขาบอกว่า เรื่องโลกเราไม่ควรพูด เราพูดเรื่องธรรม พูดเรื่องธรรมนะ เพราะธรรมเหนือโลก เราปฏิบัติกันนะ เราเป็นพระ เราจะปฏิบัติกัน เราปฏิบัติกัน เรามีเป้าหมายนะ เรามีความหวังกัน เราบวชมานี้ เราปฏิบัตินี้ เรามีความหมาย

เพราะเราเชื่อว่ามีมรรคมีผล มรรคผลมี ถ้าที่ไหนมีเหตุ ที่นั่นต้องมีผล ที่ไหนมี “มรรค” มรรคที่เราพยายามทำกันอยู่นี้ไง เราพยายามจะหาความจริง ถ้ามีมรรค มีสติ มีสมาธิ มีปัญญา นี้คือมรรค มรรค ๘ ศีล สมาธิ ปัญญา แล้วผลมันจะเกิดขึ้นมา

ที่ไหนมี “มรรค” ที่นั่นจะมี “ผล”

เราพยายามฝึกฝนกัน เราพยายามรักษากัน เห็นไหม เรารักษากัน เราพยายามจะปฏิบัติขึ้นมาให้เป็นความจริงของเรา

ฉะนั้น เวลาฟังธรรมนะ สิ่งใดที่มันสะเทือนหัวใจเรา แล้วเราเอาไปใคร่ครวญต่อ เหมือนครูบาอาจารย์ เห็นไหม จากดวงใจดวงหนึ่งมอบให้กับดวงใจอีกดวงใจหนึ่ง จากมือหนึ่งยื่นให้อีกมือหนึ่ง จากดวงใจดวงนั้นแสดงธรรมออกมา แล้วมันสะเทือนหัวใจของเรา เราเอาสิ่งนั้นไปใคร่ครวญสิ เอาสิ่งนั้นไปวินิจฉัยสิ ว่ามันเป็นประโยชน์กับเราหรือไม่เป็นประโยชน์กับเรา เห็นไหม สิ่งที่มันสะเทือนใจเรา ฟังอะไรให้มันสะเทือนใจ สะเทือนใจแล้วเอามาใคร่ครวญ แล้วควรดัดแปลงเรา ดัดแปลงเรานะ

โดยธรรมชาติของโลก คนเราถ้าไม่ขาดแคลนนะ เขาจะไม่มีการดิ้นรนของเขา สมัยโบราณของเราไม่มีตลาด สมัยโบราณนะ ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว มันอุดมสมบูรณ์ ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว ชาวเขาบนภูเขา เขาทำข้าวไร่นะ เขาเอาไม้เจาะๆ นะ เขาเอาข้าวไปหยอด ข้าวมันจะออกเป็นรวงมา เขาจะเก็บของเขา เขาจะกินของเขา เขาอยู่สุขสมบูรณ์ของเขา เพราะมันไม่มีตลาด สมัยโบราณเรื่องการซื้อการขาย ตลาดมันจะมีน้อยมาก เพราะการคมนาคมมันไม่มี

ฉะนั้น คนเรานะ จะไม่เดือดร้อน คนเราจะไม่อัตคัดขาดแคลน อัตคัดขาดแคลนเรื่องกิเลสนะ ไม่ใช่อัตคัดขาดแคลนเรื่องปัจจัยเครื่องอาศัย ปัจจัยเครื่องอาศัยเขาอุดมสมบูรณ์ของเขา ปัจจัย ๔ ดำรงชีวิตของเขา เขามีของเขา เขาถึงไม่เดือดไม่ร้อนของเขา เขาไม่มีความเดือดร้อน ไม่มีความขัดข้องหมองใจไง

แต่ถ้าพอมันมีตลาดขึ้นมา เห็นไหม พอมีตลาดขึ้นมานี่เราทำเพื่อการซื้อการขาย พอการซื้อการขายมันต้องจับ ดูสิ ทรัพยากรใช้กันเพื่อจะผลิตสินค้าให้มีต้นทุนต่ำ ต้นทุนใครต่ำคนนั้นจะขายสินค้าได้มากกว่า นี่มันทำลายทรัพยากรไปหมด แล้วเอาสิ่งที่กำไรมาเป็นสมบัติของตน ทรัพย์สมบัติสะสมขึ้นมา

ใครมีสถานะ เขาก็มีเครื่องประดับของเขาที่สวยงาม โอกาสเราบริหารจัดการอย่างเขาไม่ได้ โอกาสเราไม่มีเราก็ขาดแคลน เราขาดแคลน เราอยากได้ ความอยากได้อันนั้นมันทำให้หัวใจนี้เดือดร้อน มันบีบบี้สีไฟให้หัวใจมันดิ้นรน คนเราถ้าไม่ขาดแคลนมันก็ไม่แสวงหา ไม่เดือดร้อน แต่พอขาดแคลน ทีนี้ “ขาดแคลน” ขาดแคลนเรื่องอะไร ถ้าขาดแคลนเรื่องปัจจัยเครื่องอาศัย มันไม่ใช่ มันขาดแคลนเพราะว่ามันพร่องอยู่ไง หัวใจมันขาดอยู่

เราจะบอกว่า สิ่งที่เขามี เขาเป็น เขาไม่เดือดร้อน เขาอยู่ของเขาโดยความสะดวกสบายของเขา สิ่งที่ไม่มี ไม่เป็น แต่อยากมีอยากเป็น มันทุกข์

ทองคำนะ ทองคำ ถ้ามันเป็นทองคำ เป็นทองคำ เป็นแร่ธาตุขึ้นมา เขาทำเหมืองมาแล้ว เขาเอามาหลอม หลอมแล้วก็ทำเป็นทองแท่ง ทองแท่งเสร็จแล้วเขาเอาไปทำเป็นเครื่องประดับ เขาไปทำเป็นสร้อย เขาไปทำเป็นแหวน เป็นเพชรนิลจินดาต่างๆ เขาต้องไปทำของเขา การกระทำนั้นเขาต้องหลอม เขาต้องหลอมด้วยไฟ ยิ่งเผา อะไรยิ่งลนไฟ ทองคำมันยิ่งสุกปลั่ง มันยิ่งมีคุณสมบัติของมัน

แต่ถ้าเป็น “ทองชุบ” ทองชุบนะ เขาชุบทอง มันกลัวไฟนะ มันกลัวการตรวจสอบ ถ้ามันทองชุบ มันกลัวการตรวจสอบ ถ้ามันตรวจสอบนะ พอมันโดนความร้อนขึ้นมาทองมันละลาย ทั้งที่ไม่ต้องโดนความร้อน ถ้าเครื่องประดับนั้นได้ใช้ มีการใช้ มีการเสียดสีมา มันจะลอกของมัน ถ้าทองชุบ

ดูสิ เราขาดแคลนนะ เพราะมีการขาดแคลน เพราะมีการบีบคั้นของกิเลส เราถึงพยายามแสวงหา เราแสวงหาของเราไม่ได้ เราทำของเราไม่ได้ เรามีแต่แร่ธาตุที่ไม่เป็นประโยชน์ แล้วเราไปชุบทอง เห็นไหม ชุบทองขึ้นมามันก็เป็นทองชุบ มันไม่ใช่ทองจริง

แต่ถ้าเป็นทองจริงนะ ครูบาอาจารย์ของเราเป็นทองจริง ท่านเป็นทองจริงขึ้นมา ท่านแสดงท่านเทศนาว่าการ ท่านจะสอนลูกศิษย์ ท่านเอาตัวท่านเป็นประกัน เอาตัวท่านเป็นแบบอย่าง

เราอยู่กับหลวงตามานะ หลวงตาบอกเลย หมู่คณะนะ เวลาหมู่คณะ เวลาท่านสั่งสอน เพราะพอพระมากขึ้นมันเป็นภาระ ดูสิ สอนทุกวันๆ ดูสิ ถ้าใครมีอาชีพเป็นอาจารย์เป็นครู เวลาเด็กเข้ามาใหม่มันต้องฝึกหัด กว่าเด็กมันจะเรียนจบของมัน ต้องฝึกหัดของมัน

นี่เหมือนกัน ครูบาอาจารย์ ถ้าพอฝึกฝนขึ้นมา คนเข้ามาใหม่ คนต่างๆ เห็นไหม ดูเราบวชใหม่ พระบวชใหม่ พระบวชใหม่ที่ทนได้ยากคือทนคำสั่งสอน พระบวชใหม่เขาเรียกนิสัยฆราวาส อยู่ตามสะดวกตามสบายของตัว แต่พอบวชเข้ามาแล้วมันมีธรรมวินัยบีบบังคับ ธรรมวินัยเป็นรั้วรอบขอบชิด พอรั้วรอบขอบชิดขึ้นมา พอเข้ามาแล้วในหมู่สงฆ์ สงฆ์เขาจะดูแลกัน พอสงฆ์ดูแลกัน นู่นก็ผิด นี่ก็ผิด อึดอัดขัดข้องไปหมด นี่โทษของพระบวชใหม่คือการทนคำสอนได้ยาก คือการดูแลได้ยาก นี่พูดถึงพระบวชใหม่

แล้วถ้าบวชเก่าล่ะ บวชเก่านี่ถ้ามันรู้ แต่ยังควบคุมตัวเองไม่ได้ ถ้าควบคุมตัวเองได้นะ มันพยายามฝึกฝนของตัวเองขึ้นมา ฉะนั้น ครูบาอาจารย์ หลวงตาท่านบอกว่า ให้สอนกัน ให้บอกกัน เวลาถ้าให้สอนกัน ให้บอกกัน คือว่า คนที่ผ่านมาแล้ว คนที่ได้ฝึกฝนมาแล้ว คนที่เข้าใจแล้ว ให้คอยบอกผู้ที่เข้ามาใหม่ว่า สิ่งนั้นทำไม่ได้ สิ่งนี้ทำไม่ได้ สิ่งนั้นไม่ควรทำ

แต่เวลาบอกกัน คนเราถ้ามันเป็นสุภาพบุรุษ มันเป็นคนที่เห็นประโยชน์ ใครบอกว่าเราผิด คนนั้น อืม เขาบอกประโยชน์เรา เขาชี้ถึงความบกพร่องของเรา เขาบอกถึงจุดบอดของเรา เขาบอกถึงจุดบอดเรา คนนั้นเป็นคนดี แต่ถ้าคนมันหยาบมันช้านะ ใครบอกเรานี่โกรธเขาไปหมดเลย

หลวงตาก็บอกว่า เวลาสอนให้สอนกัน แต่เวลาอยู่ด้วยกันแล้วนะ...นี่ทองแท้ ทองคำแท้ๆ ท่านบอกว่า หมู่คณะนะ เวลาสอนให้สอนกัน แต่ถ้าจะดูความถูกความผิดกัน อย่าดูกัน อย่าดูกันเพราะคนเรา ถ้าปฏิบัติ คนยังมีกิเลสอยู่มันก็มีความผิดพลาดเป็นธรรมดา ท่านบอกว่าให้ดูตัวท่านเป็นหลัก เวลาเทศนาว่าการบนศาลาท่านพูดประจำ “ให้ดูท่านเป็นหลัก ให้ดูท่านเป็นหลัก” เพราะถ้าเราดูกันเอง เราจะเห็นแต่ข้อบกพร่อง เราจะไม่เห็นความเป็นจริงไง แต่ถ้าไปดูท่าน ท่านทำอย่างไรเป็นตัวความเป็นจริงไง นี่ทองแท้

“ทองแท้” พร้อมพิสูจน์ พร้อมตรวจสอบ พร้อมทุกๆ อย่างให้มีการพิสูจน์ตรวจสอบ เพราะเป็นทองแท้

แต่ถ้าเป็นทองชุบ ๑. คำว่า “เป็นทองชุบ” เพราะอะไร

เพราะเราไม่มีความเป็นจริงของเรา เราไม่มีความเป็นจริงของเราเลย แต่เราอยากเป็นทองเหมือนกัน เราก็แร่ธาตุตะกั่ว เอาเหล็กต่างๆ ถ้าดีที่สุดก็เงิน นาก เงินนี่เอาไปหล่อ เอาไปชุบทองขึ้นมา พอชุบทองขึ้นมา เห็นไหม มันกลัวไฟนะ มันกลัวไฟ มันกลัวการตรวจสอบ เพราะว่าทองมันจะลอก กลัวการตรวจสอบ

แล้วถ้ากลัวการตรวจสอบ แล้วบอกเขาว่าเป็นทองทำไม “ทองชุบ” เอามาใช้ทำไม?

เอามาใช้เพราะว่ามันขาดแคลนไง

ดูสิ คนเราถ้าไม่อัตคัดขาดแคลน แล้วเราจะไม่แสวงหาสิ่งนั้น คนเรานะ อยู่ทางโลกเขา ถ้าคนจิตใจเขาไม่เห็นสิ่งความสำคัญทางนี้นะ เขาพอใจของเขา นี่เศรษฐกิจพอเพียง เขาพอเพียงในหัวใจของเขา เขาอยู่ของเขาด้วยความร่มเย็นเป็นสุข

แต่คนที่จะมีความทุกข์เพราะมันจะตะกายดาว คนเรานะถ้ามันเห่อเหิมทะเยอทะยาน ความเห่อเหิมทะเยอทะยาน จะแสวงหาสิ่งที่ตนเองเป็นไปไม่ได้ ถ้ามันเป็นไปไม่ได้แล้วทำอย่างไร? ก็ใช้ทองชุบไง พยายามจะซ่อนเร้น พยายามจะทำ แต่ไม่กล้าแสดงออกกับสังคม นี่ทองชุบ

“ทองชุบ” ที่มามันก็ผิดแล้ว แต่ถ้าเป็น “ทองคำแท้ๆ” เขามาโดยแร่ทอง แร่ธาตุสายทอง เขาทำเหมืองของเขา สมัยโบราณนะ ที่ไหนมีแหล่งทอง มันจะอยู่ตามพื้นดินเลย เวลาน้ำพัดไป น้ำมันชะหน้าดินไป ทองคำจะลอยขึ้นมานะ เก็บเอาได้เลย ถ้าที่ไหนแหล่งแร่ทองคำ นี่มันมีของมัน ธรรมชาติของมันเป็นแบบนั้น เขาเป็นความจริงของเขา นั่นเป็นทอง

แต่ถ้าเป็นครูบาอาจารย์ของเรานะ “ถ้าเป็นธรรม” ถ้าเป็นธรรมมันต้องมีที่มาที่ไปไง มีที่มาที่ไป มีตั้งแต่ความเห็นโทษ ความเห็นโทษของความใช้ชีวิตของโลก เราเกิดมาชีวิตนี้มีคุณค่ามาก ในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า ชีวิตนี้อริยทรัพย์ การเกิดเป็นมนุษย์เป็นอริยทรัพย์ ศรัทธาของมนุษย์นี้เป็นอริยทรัพย์ เพราะมีศรัทธาความเชื่อถึงได้มาศึกษาธรรม พอมีศรัทธามีความเชื่อ มาศึกษาธรรม มาปฏิบัติธรรม ชีวิตนี่มีค่ามาก ถึงได้เป็นอริยทรัพย์

แต่เวลาเราปฏิบัติขึ้นมา สิ่งที่เป็นอริยทรัพย์แล้ว เราจะทำอย่างไรขึ้นมาให้มันเป็นความจริงขึ้นมา นี่ถ้าเป็นทองแท้นะ ทองแท้เพราะเราเห็นโทษของการใช้ชีวิตของโลก เราถึงมาบวชเป็นพระเป็นเจ้ากันเพื่อจะมาประพฤติปฏิบัติ เพราะทางของภิกษุ ทางของสมณะเป็นทางที่กว้างขวาง ทางของโลกเขามีศรัทธามีความเชื่อขึ้นมา แต่ก็ต้องมีหน้าที่การงาน หาปัจจัยเครื่องอาศัย เพราะชีวิตนี้มันต้องการอาหาร ปัจจัย ๔ เครื่องดำรงชีวิต ชีวิตนี้จะอยู่ได้เพราะปัจจัย ๔ เครื่องดำรงชีวิต มันดำรงชีวิตนี้อยู่ได้

ทีนี้ชีวิตนี้อยู่ได้ เราต้องหาปัจจัยเครื่องดำรงชีวิต แต่เพราะเราเห็นโทษในวัฏสงสาร เราถึงมาบวชเป็นพระ พอบวชเป็นพระขึ้นมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมและวินัยไว้ “ภิกษุ ให้เลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง” เช้าขึ้นมาเราบิณฑบาตเป็นวัตร มันเป็นอริยประเพณี ประเพณีของพระอริยเจ้า เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา เสวยวิมุตติสุข แล้วเวลาจะออกบิณฑบาต เทวดาถวายบาตร ๔ ใบ เนรมิตให้บาตรเหลือใบเดียว แล้วพิจารณาอยู่ว่าประเพณีของพระพุทธเจ้าท่านทำอย่างใด นี่ออกบิณฑบาตเป็นวัตร แล้ววางธรรมวินัยไว้

เราเห็นโทษในวัฏสงสาร โลกเขาต้องหาปัจจัยเครื่องอาศัยของเขา ปัจจัย ๔ การดำรงชีวิต เราบวชมาเป็นพระ เราเห็นภัยในวัฏสงสาร เราอยากจะประพฤติปฏิบัติ เราอยากจะพ้นจากทุกข์ เราจะเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง ความเลี้ยงชีพ เราเลี้ยงชีพด้วยธรรมวินัยไง นี่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เรามาบวชเป็นพระเป็นเจ้ากันนี่ เราบวชเป็นพระ เราเป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส เราได้เข้ามาอาศัยธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม ดำรงชีวิต การดำรงชีวิตเราบิณฑบาตเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง เลี้ยงชีพไว้ เลี้ยงชีพชอบขึ้นมาเพื่อประพฤติปฏิบัติขึ้นมานะ นี่ทองแท้ไง

แหล่งทองแท้มันอยู่ที่ไหน แหล่งทองแท้มันจะเกิดขึ้นมาได้ เกิดขึ้นมาจากความเป็นจริงของเรานี่ไง ถ้าเป็นความจริงของเรา เราประพฤติปฏิบัติขึ้นมาถ้าเป็นความจริง เห็นไหม เวลาเราทุกข์เรายากขึ้นมา ปฏิบัติขึ้นมาสัปหงกโงกง่วง

พระโมคคัลลานะเป็นพระโสดาบัน พระสารีบุตรไปฟังธรรมพระอัสสชิ เป็นพระโสดาบัน พระสารีบุตร “ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ” ไปบอกพระโมคคัลลานะ พระโมคคัลลานะก็เป็นพระโสดาบันขึ้นมา สาวก ๕๐๐ เป็นพระโสดาบันขึ้นมา มาบวช เห็นไหม

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลามาสอนพระโมคคัลลานะ...เป็นพระโสดาบัน นั่งสัปหงกโงกง่วง พระโสดาบันนะ นั่งสัปหงกโงกง่วง แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปด้วยฤทธิ์ไง

“เธอจงแหงนมองดูฟ้า เธอจงเอาน้ำลูบหน้า เธอจงตรึกในธรรม แล้วถ้าง่วงนอนนักก็นอนซะ นอนแล้วตื่นขึ้นมาค่อยภาวนาต่อ”

พระโมคคัลลานะยังประพฤติปฏิบัติขึ้นมายังจะต้องขวนขวาย ต้องมีการกระทำ

เราบวชมาแล้วเราจะเป็นทองแท้ คำว่า “เป็นทองแท้” เห็นไหม เรามีที่มาที่ไปไง

พระโมคคัลลานะเป็นพระโสดาบันเพราะเหตุใด? ได้ฟังเทศน์จากพระสารีบุตร

พระสารีบุตรได้ฟังมาจากใคร? พระสารีบุตรได้ฟังมาจากพระอัสสชิ

พระอัสสชิได้ฟังเทศน์มาจากใคร? พระอัสสชิได้ฟังเทศน์มาจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่ได้ฟังเทศน์มา แล้วเวลาสอนมานี่พระอัสสชิรู้ได้อย่างไร? พระอัสสชิฟังพระพุทธเจ้าสอนตั้งแต่ธัมมจักฯ มา พระอัญญาโกณฑัญญะเป็นพระโสดาบันองค์แรก แล้วเทศน์มา พระอัสสชิ ปัญจวัคคีย์เป็นพระโสดาบัน ถึงที่สุดแล้วเทศน์อนัตตลักขณสูตร เป็นพระอรหันต์ขึ้นมา

เป็นพระอรหันต์ขึ้นมาเพราะเป็นความจริง นี่ทองจริง

ทองคำมันต้องมีที่มาที่ไป มันต้องมีแหล่งแร่ มันต้องมีที่เก็บ มันต้องมีมาได้ก็ต้องบอกได้สิว่าอะไรเป็นทอง ทองอย่างไร แล้วเวลามันไปเจอไฟ เจอการหลอมให้เป็นวัสดุใช้สอยต่างๆ มันเป็นได้หมด มันทำได้หมด แล้วมันรู้จริงได้ มันเป็นจริงได้ มันมีคุณสมบัติจริงๆ แล้วเป็นได้จริง เป็นได้จริงเพราะมีการกระทำ

เราจะทำของเราขึ้นมาตามความเป็นจริงของเราขึ้นมา เราต้องทำจริงของเราขึ้นมาให้มันเป็นทองคำจริงๆ ถ้าทองคำจริงๆ เห็นไหม เราเห็นภัยในวัฏสงสาร เราถึงได้มาประพฤติปฏิบัติกัน

นี่โลกเขาเป็นกันอย่างนั้น ถ้าเรามีสติปัญญานะ ถ้าเรามีสติปัญญาทันเราจะรู้ว่าโลกเป็นอย่างนั้น “ธรรม” ธรรมยังไม่เกิดขึ้นมากับเรา ธรรมที่เราศึกษามานี่เป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นธรรมสาธารณะ มันยังไม่เป็นธรรมส่วนบุคคล ไม่เป็นความจริงของเรา สติต้องเป็นสติจริงๆ ขึ้นมา สมาธิเป็นสมาธิจริงขึ้นมา ปัญญาต้องเป็นปัญญาจริงขึ้นมา แล้วถ้ามรรคสามัคคีขึ้นมา ดูสิ เวลาพระโมคคัลลานะเป็นพระโสดาบันเป็นเพราะอะไร? ฟังเทศน์พระสารีบุตร ฟังเทศน์ แต่เพราะจิตใจมันแสวงหากันใช่ไหม

พระโมคคัลลานะกับพระสารีบุตร เวลาไปอยู่กับสัญชัย ไปศึกษากับสัญชัย ศึกษาทุกอย่างเลย “นั่นก็ไม่ใช่”

“ในไม่ใช่มันคืออะไร?”

“ในไม่ใช่มันก็คือไม่ใช่”

“แล้วไม่ใช่มันคืออะไร?”

“ในไม่ใช่ก็คือไม่ใช่”

ศึกษากับสัญชัยอยู่จนสัญชัยหมดไส้หมดพุงนะ แล้วพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ รู้ถึงภูมิของอาจารย์ของตัว นี่ทองชุบ ทองเก๊ พอทองเก๊ สัญญากัน ๒ คน สัญญากันนะ “ถ้าเราอยู่กับสัญชัย ไม่ใช่ความจริงแล้วล่ะ” ที่ไหนมีการละเล่นฟ้อนรำนี่ไปหมด สนุกครึกครื้นไปกับเขา จนถึงอิ่มเต็มนะ มีความเศร้าใจ มีมหรสพสมโภชไปดูแล้วมันไม่สนุกเลย แล้วก็ตกลงกันว่า “อย่างนั้นเราจะหาออกบวชกัน หาความจริงกัน”

พอหาความจริงขึ้นมาก็ยังไปหาสัญชัยก่อน นี่ทองชุบ ทองชุบนะ

พระโมคคัลลานะ พระสารีบุตรสมัยนั้น อุปติสสะยังเป็นมานพอยู่ เขายังมีวุฒิภาวะรู้ได้ว่าเป็นทองชุบ เพราะมันไม่มีที่มาที่ไป เขายังรู้ได้ว่าเป็นทองชุบ ไม่ใช่ทองจริง นี่พอไม่ใช่ทองจริง “อย่างนั้นสัญญากัน ถ้าใครเจอของจริงต้องบอกกันนะ ต้องบอกกัน” สัญญากันไว้

พระสารีบุตรไปเห็นพระอัสสชิไง นี่การเคลื่อนไหว การเคลื่อนไหวของพระอัสสชิ บิณฑบาตอยู่ มันสำรวมระวังไปหมด มันรู้ นี่คนมีปัญญามองได้ รู้ได้ ตามพระอัสสชิไป จนพระอัสสชิฉันเสร็จแล้ว เข้าไปกราบขอฟังธรรม นี่ด้วยความที่พระอัสสชิเป็นพระอรหันต์

“เราเป็นผู้บวชใหม่” พระอรหันต์นะ “เราเป็นผู้บวชใหม่”

แต่ไอ้ทองชุบนั่นน่ะ ไม่ต้องถามมัน มันจะโฆษณา มันจะประชาสัมพันธ์ มันจะหลอกลวง มันจะขี่หลังเสือ มันทองชุบน่ะ ทั้งๆ ที่ไม่กล้าเจอไฟนะ ไม่กล้าเจอการตรวจสอบ ไม่กล้าเจออะไรทั้งสิ้น เพราะไปเจอคนที่ไม่มีปัญญาไง

แต่เวลาพระสารีบุตรนี่เขามีปัญญา เขาเห็นพระอัสสชิเดินบิณฑบาต เขายังรู้ได้เลยว่าในจิตใจนั้นจริงหรือไม่จริง ในจิตใจนั้นมีเล่ห์กลหรือไม่มีเล่ห์กล แต่ถ้าคนไม่มีปัญญา พอไปเห็นทองจริงเข้านะ “อืม ไม่ใช่” พอเห็นทองชุบ ชอบนะ เพราะทองชุบมันยกก้นกันไง ทองชุบมันยกก้นกัน มันเยินยอสรรเสริญกัน แต่ถ้าเป็นทองจริงเขาไม่สนใจ เขาไม่สนใจ

พระอัสสชิบิณฑบาตโดยประเพณีของพระอริยเจ้า พระสารีบุตรตามไปๆ จะไปฟัง

“บวชมาจากไหน ใครเป็นอาจารย์?”

“โอ๊ย บวชใหม่ ไม่รู้เรื่องเลย”

เพราะพระสารีบุตรเป็นผู้ที่มีปัญญามาก ทีนี้ผู้ที่มีปัญญามากนะ “ไม่ต้องพูดมากก็ได้ ให้พูดมาเถอะ รู้มากหรือรู้น้อยก็พูดมา แต่เรื่องทำความเข้าใจเป็นหน้าที่ของผมเอง หน้าที่ของผู้ฟังจะวินิจฉัยวิเคราะห์เอง ให้ผู้พูดพูดไปเถอะ ผู้ที่ฟังจะวินิจฉัยเอง”

เห็นไหม ดูสิ พระอัสสชิ “เราเป็นผู้บวชใหม่” นี่พระอรหันต์พูด เห็นไหม

แต่ผู้ที่เป็นลูกศิษย์ ผู้ที่จะฟัง ผู้ที่มีปัญญาก็พูดตอบว่า “มันเป็นหน้าที่ของผู้ฟัง ผู้ฟังจะวินิจฉัยเองว่าดีหรือไม่ดี ขอให้พูดเถิด”

ขอให้พระอัสสชิแสดงธรรมไง พระอัสสชิถึงแสดงธรรม “เย ธมฺมา...” ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ ธรรมทั้งหลาย ทุกอย่างที่เกิดมาเกิดมาแต่เหตุทั้งนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้ดับไปที่เหตุนั้น สอนให้ไปดับที่เหตุนั้น

ไม่ใช่สอนให้ไปตะกายดาวเอาธรรมนั้น ไม่มี

สอนให้ไปหาที่เหตุนั้น “ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ” เหตุมันเกิดจากอะไร?

พระสารีบุตรได้ไปอยู่กับทองชุบมาก่อน ไปอยู่กับสัญชัยมาก่อน “นั่นก็ไม่ใช่ นี่ก็ไม่ใช่” อู๊ย ธรรมะนี่ไหลเป็นน้ำเลย อู๊ย ไหลมาแตกฉานไปหมดเลย แต่ฟังแล้วมันไม่ได้เรื่อง แต่เวลาไปฟังพระอัสสชิพูด “หน้าที่ของการใช้ปัญญาเป็นหน้าที่ของกระผมเอง แสดงมาเถอะ”

พอแสดงมานะ พระสารีบุตร “ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ” มันมีเหตุมีผล

“ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ” ความทุกข์ ความสุข ความเศร้าหมอง ความผ่องใส ความต่างๆ ในหัวใจเรานี่มันมีที่มาสิ มันต้องมีเหตุมีผลของมันสิ มันเกิดมาลอยฟ้ามาเหรอ มันลอยลมมาจากไหน? มันไม่ลอยลมมาหรอก ทั้งๆ ที่เป็นความรู้สึกนึกคิดที่เกิดจากใจ แต่มันไม่ลอยลมมาหรอก มันมีเวรมีกรรม

คนเรานี่เกิด กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดแตกต่างกัน “กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดแตกต่างกัน” ความรู้สึกนึกคิดของเรา กรรมมันจำแนกมาให้เราเป็นอย่างนี้ แล้วมีที่มาที่ไปของมันสิ นี่เวลามันย้อนกลับไปในหัวใจ ย้อนกลับไปชำระของมัน พอฟังธรรมมันกระเทือนในหัวใจเป็นพระโสดาบัน

เอาคำพูดนี้...เพราะตัวเองได้พิสูจน์แล้ว นี่ทองคำแท้ ได้เจอตบะธรรม ได้การใคร่ครวญจากพระสารีบุตร พระสารีบุตรได้ใคร่ครวญธรรมะอันนี้ แล้วเอาธรรมะอันนี้ไปพูดต่อ เพราะได้พิสูจน์แล้ว ได้พิสูจน์ได้ตรวจสอบแล้วก็ไปพูดให้พระโมคคัลลานะฟัง พระโมคคัลลานะใช้ปัญญาตรวจสอบขึ้นมาเป็นพระโสดาบันหมดเลย

เวลาไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังเทศนาว่าการตรวจสอบ ได้มีการพิจารณาต่อเนื่องกันไป นี่ทองคำแท้ เขามีการตรวจสอบ เขามีที่มาที่ไป มันไม่เลื่อนลอยหรอก

“ทองชุบ” ทองชุบนี่ไม่ต้องทำอะไรนะ ทองชุบนี่ตัวเองไม่ต้องทำอะไร เพราะตัวเองทองชุบ มันชุบมาเพราะข้างในเป็นตะกั่ว ข้างในเป็นแร่ธาตุที่มีโทษ สารตะกั่วนี่เป็นโลหะหนัก เข้าไปในสายเลือด เข้าไปในต่างๆ มันเป็นพิษเป็นภัยไปหมดเลย แต่เพราะเราเป็นคนขาดแคลน เราเป็นคนอยากมั่งอยากมี อยากจะมีเสมอเขา เราก็อุตส่าห์ไปชุบทองไว้ แล้วมาแขวนคอไว้ไง เอามาแขวนคอไว้ เอามาเป็นเครื่องประดับไว้ แต่ก็ไม่กล้าตรวจสอบ ขนาดเอามาใช้มาสอย มันเสียดสีแล้วมันก็ยังจะหลุดจะลอกได้ เห็นไหม ที่มาที่ไปมันไม่มีเหตุมีผล

ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ ถ้าจะมีธรรมต้องดับเหตุนั้น

แล้วนี่มันจะดับอย่างไรล่ะ ในเมื่อเริ่มต้นขึ้นมามันก็ไม่ใช่ความจริงอยู่แล้ว มันชุบมาด้วยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เพราะกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เพราะนี่มันก็เร่ร่อน ความเร่ร่อนของมัน การแสดงออก แสดงออกไม่ได้ นี่การแสดงออกไม่ได้ เห็นไหม ดูสิ ในสังคมเรา เวลาเขาตกทองกัน ทองที่เขาตกนี่ทองชุบทั้งนั้นน่ะ เส้นใหญ่มาก แต่เขาต้องมีทีมงานของเขานะ พอตกทองเสร็จ มาเก็บได้ เขาจะมีคนที่ ๑ มา คนที่ ๒ มา คนที่ ๓ มา

“เออ ควรจะแลกเนาะ ควรจะเป็นอย่างนั้นนะ”

ไอ้เราก็เชื่อเขาทุกที แต่เวลารู้ตัวขึ้นมาก็เสียใจนะ

นี่ก็เหมือนกัน แต่ทองแท้ๆ เขาไม่มีการประชาสัมพันธ์ ไม่มีคนที่ ๑ มาบอกว่าควรจะเป็นอย่างนั้น ควรจะเป็นอย่างนี้ ไม่ต้องมีบริษัทบริวารคอยประชาสัมพันธ์ให้ นี่ถ้าทองชุบจะเป็นแบบนั้น

ทองชุบไม่เป็นความจริง ที่มาที่ไปก็ไม่เป็นความจริง แล้วไม่เป็นประโยชน์กับใคร ไม่เป็นประโยชน์กับแม้แต่ความเป็นจริงของทองชุบนั้น เพราะทองชุบ ตัวเองก็ไม่เป็นประโยชน์ เพราะตัวเองไม่ใช่ทอง แล้วประกาศว่าทอง

ฉะนั้น พอประกาศว่าทอง มันก็เป็นการทุจริตอยู่แล้ว เพราะสังคมนี่หลอกลวงสังคม การหลอกลวงสังคมมันเป็นอกุศล แต่ถ้าเป็นทองจริง ตัวเขาเป็นกุศลอยู่แล้ว กุศลเป็นความจริงด้วย ถ้าความจริงเทศนาว่าการ ครูบาอาจารย์เทศนาว่าการเพื่อประโยชน์ กุศลคือความจริง ความจริงทุกคนต้องการความร่มเย็นเป็นสุข ทุกคนต้องการความสงบระงับ ทุกคนต้องการธรรมะ ทุกคนต้องการธรรมโอสถ ต้องการ ความต้องการ แต่เพราะว่าความอ่อนด้อยของปัญญาของเขา เขาถึงเข้าถึงสิ่งนั้นไม่ได้

แต่การแสดงธรรมนั้นแสดงธรรมเพื่อรื้อสัตว์ขนสัตว์ เพื่อโลกไง

แต่ถ้าทองชุบ ตัวเองก็เป็นอกุศลอยู่แล้ว เพราะตัวเองแสดงออกไม่ได้ เพราะแสดงออกมันก็สารตะกั่วทั้งนั้น โลหะหนัก ทำลายตัวเองก่อน เพราะอะไร เพราะถ้าเป็นอกุศล ถ้าเป็นการฉ้อโกง ดูสิ การฉ้อโกง ถ้าเป็นหลอกลวงประชาชน การว่าหลอกลวงประชาชนนะ ถ้าตั้งแต่ ๕ คน หรือ ๑๐ คนขึ้นไปจะเข้ากฎหมายการหลอกลวงประชาชน แต่ถ้าเป็นบุคคล ๒ คน ๓ คนขึ้นไป เขาว่ามันเป็นการฉ้อโกง หลอกลวงประชาชนมันหนักหน่วงกว่า นี่ก็เหมือนกัน มันไม่กล้าแสดงออก แสดงออกไม่ได้ เพราะกฎหมายมันก็ผิดอยู่แล้ว ทุกอย่างก็ผิดอยู่แล้ว แต่ทำไมทำล่ะ แต่ทำไมทำ?

เราจะบอกว่า เวลาคนเขาขาดแคลนนะ พอเขาขาดแคลน เขาถึงได้มีความกดดัน เขาถึงได้มีการแสวงหา แต่ถ้าคนนะ คนเขาอยู่ปัจจัยเครื่องอาศัย ปัจจัย ๔ สมัยโบราณเขาไม่ขาดแคลนของเขา พอไม่ขาดแคลนเขาหาอยู่หากินของเขาได้ แต่เพราะการตลาดขึ้นมา เพราะมีการตลาดถึงต้องมีการแสวงหากันขึ้นมา ฉะนั้น สิ่งที่ว่าเพราะมีความขาดแคลน เพราะมันไม่เป็นความจริง แต่ถ้าเป็นความจริงนะ ถ้าเป็นทองจริงมันไม่ขาดแคลน มันอิ่มเต็มของมันไง สิ่งที่เป็นทองแท้เขาไม่หวั่นไหว เขาไม่ต้องการสิ่งใดทั้งสิ้น

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ ปรารถนามาเป็นพระโพธิสัตว์ จะมารื้อสัตว์ขนสัตว์ แต่เวลาตรัสรู้ธรรมขึ้นมา “จะสอนได้อย่างไรหนอ จะสอนได้อย่างไรหนอ” นี่เพราะอะไร เพราะมันลึกลับซับซ้อนนัก แต่ในเมื่อคนที่สร้างบุญญาธิการมามันมี หวังคนนั้นไง ถ้าหวังคนนั้น เห็นไหม ดูสิ เวลาไปเอาองคุลิมาลมันเฉียดฉิวๆ คนๆ นั้นจะเกือบหมดโอกาส คนนั้นจะหมดโอกาส องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปทรมานเอา ไปทรมานนี่รื้อสัตว์ขนสัตว์

แต่มันเป็นเฉพาะบุคคลๆ เพราะเขามีปัญญาของเขาพอสมควร เขามีหลักมีเกณฑ์ เขา อำนาจวาสนาของเขา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไปเทศนาว่าการเอาเฉียดฉิวๆ คนที่เกือบจะอดๆ เกือบจะหมดโอกาส เพราะว่าถ้าทำปิตุฆาต มาตุฆาต นี่มันหมดโอกาสเลย มันปิดกั้นมรรคผล องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปเทศนาว่าการรื้อสัตว์ขนสัตว์ แม้แต่รื้อสัตว์ขนสัตว์นะ ก็ยังต้องไปเอาตัวบุคคลเป็นตัวบุคคลไป นี่พูดถึงว่ารื้อสัตว์ขนสัตว์ การกระทำขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันลึกลับซับซ้อน มันละเอียดอ่อนมาก

แต่ถ้าเพราะมันอิ่มเต็ม มันถึงทำเพื่อประโยชน์กับสังคม เพื่อประโยชน์กับวัฏฏะ ไม่ใช่ประโยชน์ตนเอง ผู้ที่เป็นทองจริงนะ เขาไม่มีสิ่งใดบกพร่องในหัวใจ ถ้าไม่มีสิ่งบกพร่องในหัวใจ เขาไม่มีความจำเป็นจะต้องแสวงหาสิ่งใดอีกแล้ว เพราะการแสวงหาสิ่งต่างๆ มันเป็นเรื่องโลกๆ ทั้งนั้นน่ะ

โลกธรรม ๘ มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ...มีลาภก็เสื่อมลาภ มียศก็เสื่อมยศ มีกับขาดแคลนมันเป็นของคู่กัน มันเป็นธรรมะเก่าแก่ของมันอยู่แล้ว ไม่มีใครแสวงหาหรอก ถ้าเป็นความจริงนะ เขาไม่แสวงหา สิ่งนั้นไม่มีความจำเป็นอะไรทั้งสิ้น แต่ถ้าเป็นทองชุบมันแสวงหา เพราะตัวมันเองมันไม่ใช่ความจริง พอตัวเองมันไม่ใช่ความจริงมันจะทำอย่างไรเพื่อให้เป็นความจริงในตัวมันเองล่ะ มันจะทำอย่างไรเพื่อเป็นความจริงกับตัวมันเอง?

มันก็อาศัยการประชาสัมพันธ์ อาศัยการตลาด อาศัยต่างๆ ปกป้องไว้ไง แต่ตัวเองไม่เป็นความจริง

“กุศล-อกุศล” ถ้าเป็นกุศลแล้วมันไม่กลัวสิ่งใดๆ ทั้งสิ้น มันมีประโยชน์ของมันตลอดเลย

แต่ถ้าเป็นอกุศล มันไม่เป็นประโยชน์กับตัวเอง ไม่เป็นประโยชน์กับใครทั้งสิ้นเลย

แต่โลกนี้ เห็นไหม เหรียญมี ๒ ด้าน โลกนี้มีอยู่อย่างนี้ เวลาครูบาอาจารย์ท่านพูดนะ โลกนี้คนโง่มากหรือคนฉลาดมาก มันเป็นเรื่องจริงนะว่าคนโง่มากกว่าคนฉลาด โดยตามความเป็นจริง ดูเจดีย์ ฐานเจดีย์กับยอดเจดีย์แตกต่างกันทุกที่ ฐานเจดีย์จะกว้างมาก ยอดเจดีย์จะแหลม มันจะมีปริมาตรน้อยมาก

นี่ก็เหมือนกัน สังคม มนุษย์เหมือนกัน เราเป็นพระนะ เป็นพระเหมือนกัน แต่คนที่มีเชาวน์ปัญญา มีมากหรือมีน้อยเราสังเกตได้ ถ้าเรามีเชาวน์ปัญญา เห็นไหม ทุกคนแสวงหานะ ทุกคนมีเป้าหมายอยากจะพ้นจากทุกข์ทั้งนั้นเลย แต่ดูการกระทำสิ ดูการกระทำ ถ้ามันจะเป็นพ้นทุกข์ได้ “มนุษย์จะล่วงพ้นทุกข์ด้วยความเพียร” ความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะ นี่ไง เพราะมันเกิดจากการกระทำ

ดูทองคำนะ เราเป็นแหล่งแร่ เรายังต้องมาหลอม ต้องมาแยก มาคัดแยกว่าแร่ธาตุมันอยู่ในเหมือง มันไม่สะอาดบริสุทธิ์นะ เราต้องขุดมา ต้องร่อนมา แล้วต้องมาหลอม เห็นไหม กว่ามันจะหลอมเป็นทองคำบริสุทธิ์ มันต้องผ่านกระบวนการมาขนาดไหน นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่เราจะทำ เราประพฤติปฏิบัติ เรามีเป้าหมายของเรา เราจะทำความจริงของเรา

“มนุษย์จะล่วงพ้นทุกข์ด้วยความเพียร” ความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะของเรา เราก็จะมาหลอมหัวใจเรา หัวใจเรานี่เรามาแก้ไข มีการกระทำ ทำให้มันเป็นความจริงขึ้นมา ถ้าความจริงขึ้นมาเราจะเข้าใจได้ ศีล สมาธิ ปัญญา มรรค ผล มันจะเป็นอย่างไร มันทำอย่างไร ถ้ามันทำได้แล้วนะ องอาจกล้าหาญ

แม้แต่นักบวชเรา ถ้าศีลบริสุทธิ์นะ ศีลสะอาดบริสุทธิ์ เราจะเข้าสังคมใดเราเข้าด้วยความองอาจกล้าหาญมาก เพราะว่าอะไร เพราะมือมันไม่มีแผล แต่ถ้าศีลของเรามันไม่บริสุทธิ์ เรารู้ของเราก่อน ความลับไม่มีในโลก เรารู้อยู่ เรารู้อยู่ แล้วถ้าใครพูดเฉียดๆ เข้ามามันก็สะดุ้งแล้วนะ ไม่ต้องพูดตรงๆ หรอก แค่เฉียดๆ มันก็สะเทือนแล้ว แล้วถ้าพูดเข้ามาตรงๆ มันจะสะเทือนขนาดไหน นี่ว่าศีลนะ พูดถึงศีล ความผิดปกติ ความผิดปกติของจิต

ถ้าจิตมันมีความปกติของมัน มันไม่ผิดศีล มันไม่มีอกุศล เห็นไหม “ศีล อธิศีล”

“ศีล” ศีล ๒๒๗ ศีล ๒๑,๐๐๐ แต่เวลาเรารักษาใจของเราแล้วเราไม่ต้องตกใจเรื่องศีลเลย ถ้าจิตใจของเราสะอาดบริสุทธิ์ จิตใจของเราไม่ก้าวล่วงนะ เราไม่ผิดศีล ใครจะพูดอย่างไร เฉียดขนาดไหน แทงขนาดไหนให้แทงเข้ามา เฉียดเข้ามา ทิ่มเข้ามาเลย มันไม่โดน ก็มันไม่มี เราไม่ได้ทำผิด

แล้วถ้าทำผิด เขาบอกว่าถ้าผิดศีล เราผิด มีความผิดอย่างไร อ้าว ก็ว่ามาไปตามนั้น ถ้าวินิจฉัยกันว่าผิด ผิดเขาจะปลงอาบัติ ถ้าผิดนะ เพราะผิด ศีล ผิดเพราะความไม่รู้ ผิดเพราะลังเลสงสัย ผิดเพราะเราทำผิด เห็นไหม ถ้าเราไม่รู้ เราไม่รู้ แต่ถ้าเราผิด ผิดก็พูดมาสิ พูดมา วินิจฉัยมา สอบสวนมา แล้วถ้าผิดจริง ถ้าผิดจริง แต่ถ้ามันไม่ผิด ไม่ผิดก็คือมันไม่ผิด แต่ถ้าผิดจริง เพราะคำว่า “ไม่รู้” มันไม่มีอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าถ้ามีคนเขาเห็นแล้วเขาว่าอย่างนั้นผิด แล้ววินิจฉัยกันมา นี่พูดถึงศีลนะ

“ศีล สมาธิ”

ถ้ามันมีสมาธิล่ะ ถ้าจิตมันสงบระงับขึ้นมามันพิสูจน์กันได้ ถ้าศีลมันสะอาดบริสุทธิ์มันเข้าสมาธิได้ ถ้าเรามีความลังเลสงสัย เราเข้าสมาธิไม่ได้ มันทำไมถึงเข้าไม่ได้ จิตเราลงสมาธิไม่ได้เป็นเพราะอะไร จิตเราเข้าสมาธิไม่ได้เพราะอะไร ก็ทบทวนใช่ไหม นี่เวลาเราปฏิบัติกัน เราทำสมาธิกันไม่ลงสมาธิ เราก็มาดูว่า เออ อันนี้ผิดอะไร ผิดก็ปลงอาบัติ ถ้ามันไม่ผิด ไม่ผิดเพราะอะไร ไม่ผิดเพราะถ้าจิตใจมันเข้มแข็ง จิตใจกระด้าง เราจะล้อมมันด้วยอะไร เรามีสติขึ้นมา ให้ชัดเจนขึ้นมา ถ้าไม่ชัดเจนขึ้นมาเราก็ผ่อนอาหาร เราผ่อนอาหาร เราไม่นอน นี่มันก็ต้องมีเหตุผลหักล้างกัน ถ้าหักล้างกันมันมีการกระทำขึ้นมา

“มนุษย์จะล่วงพ้นทุกข์ด้วยความเพียร” เรามีความเพียร มีความวิริยะ มีความอุตสาหะ แล้วถ้ามีความจริงขึ้นมา พอมันเข้าสมาธิ “ศีล สมาธิ” อ้าว แล้วปัญญา ปัญญามันเกิดอย่างไร ถ้าปัญญามันไม่เกิด ถ้าเป็นสมาธิแล้วทำไมปัญญาไม่เกิด พอมันเป็นสมาธิแล้วเจริญแล้วเสื่อม เสื่อมแล้วเจริญ เราชำนาญในวสี ชำนาญในการเข้าสมาธิ แล้วสมาธิทำไมมันไม่พิจารณาล่ะ ทำไมมันไม่เห็นสติปัฏฐาน ๔ ไม่เห็นกาย เวทนา จิต ธรรม เป็นตามความเป็นจริงล่ะ นี่เราก็พิจารณาของเรา

“น้อมไป” จิตถ้ามันเป็นสมาธิได้ ถ้าอัปปนานี่สักแต่ว่ารู้เลย เวลามันคลายตัวออกมาเห็นไหม เห็นอะไรไหม เห็นกายไหม ถ้าไม่เห็นกาย นั่ง ๖ ชั่วโมง ๗ ชั่วโมง มันมีความเจ็บปวดไหม ความเจ็บปวดคือความรู้สึก เพราะจิตมันเสวยอารมณ์ จิตเสวยเวทนา ถ้าจิตเสวยเวทนา นี่ไง ไหนว่าไม่มีไง เวลาจิตมันว่างนะ จิตเข้าสมาธินะ เวทนาก็ไม่มี อะไรๆ ก็ไม่มี...ไม่มีเพราะมันไม่รับรู้ แต่พอมันรับรู้ ไหนว่าไม่มีไง

เวลาจิตมันสงบนะ มันก็เป็นอีก... ปัจจุบันนั้นมันก็สักแต่ว่า ไม่มีอะไรเลย เวลาเราคลายตัวออกมานะ ทำไมมันไม่พิจารณา ก็อยากจะพิจารณาเวทนา อยากจะพิจารณานู่น อยากพิจารณานี่ แต่ก็ไม่พิจารณา นี่เวลาเราคิด เวลาสัญญาอารมณ์เป็นอย่างนี้นะ

เวลาเข้าไปในสมาธินะ มันไม่รู้เรื่องแล้ว ไปเข้าในสมาธิ มันอยู่ในสมาธิ จิตเป็นปัจจุบันอยู่ ไม่เห็นอะไร จับต้องสิ่งใดไม่ได้เลย เห็นไหม เราก็ตั้งสติของเรา รำพึงให้ไปเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม นี่พูดถึงรำพึงนะ

ถ้าไม่รำพึง นั่งไปมันต้องจับได้ พอมันจับได้มันมีความรู้สึก มันมีเวทนา พอมันจับมั๊บ...ไหนว่าไม่มีไง พอ “ไหนว่าไม่มี” มันสะเทือนหัวใจมาก เพราะอะไร เพราะนี้เห็นตามความเป็นจริง เห็นตามความเป็นจริงคือจิตสงบแล้วเห็น

“ศีล สมาธิ ปัญญา” มันจะเกิดปัญญานะ ปัญญาที่มันเกิดขึ้นมันเกิดขึ้นตามความเป็นจริง พอปัญญาๆ ภาวนามยปัญญา ปัญญาที่ฆ่ากิเลสนี่มันจะฆ่าอย่างไร เห็นไหม ถ้ามันเห็นจริง มันพิจารณาของมันตามความเป็นจริง

นี่ไง ทองแท้เขาพิสูจน์ได้ว่าเอ็งเป็นทองอะไร เอ็งอะไรเป็นทอง ถ้าทองแท้

ถ้าทองชุบมันไม่รู้หรอก มันชุบของมันมา มันไม่รู้ไม่เห็นของมัน ถ้าไม่รู้ไม่เห็นของมัน มันก็ไม่เป็นความจริงของมัน

ถ้าทองแท้ ครูบาอาจารย์ท่านปฏิบัติมา ท่านพ้นของท่านไปนะ แล้วท่านเอาหลักเอาเกณฑ์มาสอนพวกเรา คำว่า มาสอนนะ บอกทาง เพราะการกระทำเราต้องทำของเราเอง แล้วเวลาทำของเราเองมันก็เป็นสัญญาอารมณ์ที่เราศึกษามา เราวิเคราะห์วิจัยมา การวิเคราะห์วิจัยมานี่มันเกิดขึ้นมาจากโลก คือโลกียปัญญา เกิดมาจากภพ เกิดมาจากการเก็บสถิติ เกิดมาจากการฝึกจิต เกิดมาจากการใช้สัญญาอารมณ์ที่ฝึกหัด การฝึกหัดนี้ฝึกหัดจนมันเป็นความคิด ความรู้สึกของเรานี่แหละ มันเป็นการฝึกหัดเพราะมันเกิดจากโลกียะ เกิดจากภพ

ถ้าเราทำความสงบของใจ พอใจมันสงบไปแล้ว ถ้าจิตสงบแล้วมันไปรู้ของมัน เห็นของมัน อย่างที่ว่า ถ้าจิตสงบแล้วนู่นก็ไม่มี นี่ก็ไม่มี นี่มันจิตเป็นสมาธิ แต่มันวิปัสสนาไม่เป็น แต่ถ้ามันน้อมไป มันเห็นไป เห็นสติปัฏฐาน ๔ มันจับได้ต้องได้ นี่มันวิปัสสนาเป็น มันจะเห็นเลย

แล้ว “อ๋อ! โลกุตตรปัญญาเป็นอย่างนี้ โลกุตตรปัญญาเป็นอย่างนี้” มันแตกต่าง พอมันแตกต่างแล้วมันก็อ๋อ อ๋อแล้วมันก็พิจารณาของมันไปเรื่อย พิจารณาของมันไปเรื่อย จนมันชำนาญ ชำนาญจนมันปล่อย ปล่อย ตทังคปหาน ถ้ามันแยกโดนมันขาด ขาดผลัวะ! นั่นน่ะเป็นความจริง

ทองคำจริงมันต้องมีที่มาที่ไป แล้วทนการตรวจสอบ จะเจอไฟ จะอุณหภูมิขนาดไหน จะหล่อหลอมขึ้นมาเพื่อจะทำให้เป็นวัตถุสิ่งใดขึ้นมา มันจะเป็นประโยชน์ทั้งนั้นถ้าเป็นทองจริง แต่ถ้าเป็นทองชุบ หลบๆ หลีกๆ ซ่อนเร้น สร้างมวลชนขึ้นมาปิดล้อมไว้ นี่มันเป็นอกุศลทั้งนั้นน่ะ ทุกคนรู้ได้นะ

ทุกคนถ้ามีสติปัญญา กาลามสูตร อย่าเพิ่งเชื่อใดๆ ทั้งสิ้น ถ้าเราเชื่อ เห็นไหน เราเชื่อทองชุบ เราจะไม่มีโอกาสไปสู่ความเป็นจริง เพราะทองชุบนั้นเขาไม่มีเทคโนโลยี คือเขาไม่รู้ว่าอะไรจริงและอะไรไม่จริง เพราะคำว่า “ทองชุบ” มันเป็นทองชุบ มันเป็นตะกั่ว มันไม่เคยผ่านกระบวนการการหล่อหลอมทองคำแท้ มันไม่เคยหล่อหลอมทองคำแท้ มันถึงไม่รู้ว่าอะไรแท้ อะไรเท็จ แต่เพราะรู้ได้แค่นี้ ก็ว่าอันนี้เป็นความจริง นี้คือทองชุบ เอวัง